
Shazam Fury of the Gods จุดเดือดเทพเจ้า (2023) : หนังแอ็คชั่นซุปเปอร์ฮีโร่ของฝั่ง DC ที่โดดเด่นมากๆในเรื่องของการเป็นหนังฮีโร่ที่ผสมกับ coming-of-ageได้ถูกจริตและสร้างความประทับใจมาแล้ว ในปี 2019 กับShazam ภาคแรก กลับมาครั้งนี้ กับการเล่นใหญ่เล่นเต็มกว่าเดิม เมื่อเหล่าเด็กๆวัยรุ่นเริ่มโตขึ้น และที่สำคัญวายร้ายภาคนี้ นั่นโหดและพละกำลังมหาศาล เพราะเป็นถึงเทพเจ้า จึงกลายเป็นภารกิจครั้งใหญ่ที่ท้าทายมากๆสำหรับพวกเขา Shazam ภาคนี้ยังได้ เดวิด เอฟ. แซนด์เบิร์ก มาเป็นผู้กำกับเช่นเดิม ตัวหนังมีความยาว 2 ชั่วโมง 10 นาที ฉายแล้วที่โรงภาพยนตร์
เป็นเรื่องราวของชาแซมและเพื่อนๆ ที่ต้องมาเผชิญหน้ากับวายร้ายตัวใหม่ อย่างบุตรสาวทั้งสามของเทพแอตลาส ที่เดินทางมายังโลกมนุษย์เพื่อตามหา เมล็ดพันธุ์ ในการสร้างอาณาจักรที่ล่มสลาย ให้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง รวมไปถึงจุดประสงค์แอบแฝงอย่างการ ยึดครองโลกอีกด้วย งานนี้ชาแซมจะต้องปฎิบัติภารกิจเพื่อปกป้องโลกให้ปลอดภัยจากมือของเหล่าเทพ ผู้ชั่วร้ายนี้ให้ได้
ถือว่าเป็นหนังที่ดูได้เพลินๆไม่ได้ดีงามอะไรมากมาย และก็ไม่แย่ขนาดนั้น อยู่ในระดับกลางๆ แต่ถ้าเทียบกันกับภาคแรก ส่วนตัวชอบภาคแรกมากว่า ด้วยความที่ภาคนี้ค่อนข้างเน้นไปที่สเกลเรื่องราวที่ใหญ่ขึ้น ดูหนักและจริงจังมากกว่าเดิม รวมไปถึงการเล่นปมประเด็นดราม่าครอบครัวที่ชงกันมาแบบไม่ถึงเครื่อง มุกตลกของแก็งวัยรุ่นที่ชวนให้คนดูบันเทิงภาคนี้กลับดรอปลงอย่างชัดเจน กลับกลายเป็นว่าหนังภาคนี้ ดึงเอาตัวจุดเด่นของตัวเองมาใช้กับตัวหนังค่อนข้างน้อย แต่กลับเลือกเสริมฉากแอ็คชั่น โชว์พลังวิเศษ รวมไปถึงสัตว์ประหลาดแทนที่ ซึ่งดูจะซ้ำซากจำเจและไม่แตกต่างจากหนังซุปเปอร์ฮีโร่ทั่วไป
Shazam ภาคนี้ยังเสริมด้วยตัวละครใหม่ๆมากมาย ซึ่งเดิมทีก็มีเยอะเยะเต็มไปหมดอยู่แล้ว จึงทำให้การเฉลี่ยบททำออกมาได้ไม่ดีนัก รวมไปถึงการเปิดประเด็นดราม่าของ Billy Batson ในการเลือกที่จะเติบโตในแบบของตัวเองน้อยลงกว่าภาคก่อน แถมปัญหาบางอย่างที่ใส่เข้ามา ก็เป็นการอัดใส่เข้ามาแบบลอยๆ จนคนดูไม่ได้รู้สึกถึงปมประเด็นตรงนั้นว่ามันคือ ปัญหาจริงๆ แต่ที่เราเห็นชัดมากๆ คือ บทบาทของ Freddy เด็กชายที่พิการไม่สมประกอบ กลับมีบทบาทที่สำคัญและดูมีมิติมากกว่า บท ของ Billy
ฉากแอ็คชั่น ภาคนี้เน้นไปที่ความอลังเวอร์วังของสถานการณ์ที่เล่นใหญ่ระดับยึดโลก แถมยังต้องต่อสู้กับสายเทพที่มีพลังน่าสนใจ ส่วนตัวชอบพลังของ แอนเธีย ที่สามารถควบคุมแกนโลกได้ บอกเลยว่า พลังโคตรเทพ มันทำให้งานภาพออกมาได้ดูสวยแปลกตาดี และทำให้คนดูรู้ตื่นตากับการหมุนแบบไร้ทิศทาง แอบทำให้เรานึกด็อกเตอร์สเตรนอยู่หน่อยๆ ส่วนงานCG ทำออกมาได้สวยเนียนตาทั้งโหมดกลางวัน และกลางคืน ฉากปะทะมังกรในช่วงท้ายทำออกมาได้อลังการ แต่ไม่ได้ทำให้เราสนุกและลุ้นสักเท่าไรกับฉากต่อสู้ในช่วงสุดท้าย
ส่วนการแสดงภาคนี้กลับรู้สึกว่า แจ็ค ดีแลน เกรเซอร์ ในบท Freddy มันดูดีจังเลยทั้งสดใจและจิตใจกว้าง แถมมีเสน่ห์ ที่สำคัญเคมีโคตรลงตัวกับ น้อง เรเชล เซกเลอร์ ในบท แอนเทีย โคตรมีเสน่ห์ตั้งแต่ซีนแรกที่ออกมา ยิ่งตอนซีนที่ได้ใส่ชุดเทพสีทอง แล้วกำลังปล่อยพลังหมุนแกนโลก บอกเลยน้องเรเชลสะกดคนดูมาก
.
รวมๆแล้วเป็นหนังที่ดูได้เพลินๆ และเสพง่ายไม่ต้องใช้ความคิดเยอะ ปล่อยใจ เอนจอยกับตัวหนังไปเรื่อยๆ แม้การเล่าเรื่องและตัวบท ดูจะเป็นปัญหาใหญ่ที่ตัวหนังทำออกมาได้ไม่ดีนัก แต่การอัดใส่ฉากแอ็คชั่นผสมมุกตลก ถือว่าทำออกมาได้ดีประมาณหนึ่ง ตัวละครใหม่อย่าง แอนเทีย สร้างความประทับใจไม่น้อย ในการใช้พลังเทพ งานCGตระการตา ที่สำคัญฉากท้ายๆของหนังสร้างความประทับใจให้คนดูไม่น้อย นอกจากนั้นหนังจบอย่าเพิ่งลุกนะคะทุกคน เพราะมีเอนด์เครดิต 2 ตัว ซึ่งสำคัญมากๆด้วย
.
เรื่องย่อ : เรื่องราวของ บิลลี่ แบตสัน หลังจากที่ได้พลังพิเศษให้กลายร่างเป็นซูเปอร์ฮีโร่หุ่นล่ำบึ้กชื่อว่า ชาแซม แต่ตัวเขาเองก็อดตั้งคำถามในใจไม่ได้ว่าเขาคู่ควรกับพลังนี้หรือไม่ ในทางกลับกันก็สร้างความไม่พอใจให้กับ เฮสเพอรา และ คาลิปโซ่ ธิดาแห่งเทพแอตลาส ที่ได้รู้ว่า บิลลี่ ได้รับพลังวิเศษที่ไม่คู่ควร พวกนางจึงมาเยือนโลกและหวังจะนำพลังกลับคืนไป พร้อมกับสร้างความวุ่นวายให้กับโลกไปพร้อมกัน บิลลี่จึงต้องผนึกกำลังกับครอบครัวเข้าปกป้องโลก และพิสูจน์ให้เห็นว่ามนุษย์เด็กวัยรุ่นแบบเขาก็คู่ควรกับพลังพิเศษนี้